วันพุธที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2551

ดื่มน้ำให้ถูกวิธี

เนื่องจากช่วงนี้ร่างกายป่วยออดๆแอดๆ บ่อยค่ะ

พักนี้ก็เลยลองหาความรู้เกี่ยวกับเรื่องสุขภาพอ่าน ก็ไปเจอเอาเว็บ www.the-arokaya.com ของ คุณหมอแดง
ซึ่งพออ่านแล้วก็พบว่าเป็นคุณหมอที่รักษาโรคแบบทางเลือก โดยเน้นใช้ธรรมชาติบำบัด
เห็นว่าเกือบทุกบทความ มีประโยชน์ น่าสนใจดี โดยเฉพาะเกี่ยวกับเรื่อง น้ำ
ก็เลยยกมาให้อ่านกันค่ะ

จากที่อ่าน คุณหมอเขียนไว้ว่า โรคหลายๆโรคของคนเราเกิดจากการกินน้ำไม่ถูกวิธี หรืออีกทางก็คือ น้ำเป็นส่วนหนึ่งที่สามารถทำให้เราเจ็บป่วย หรือสุขภาพดีได้

เนื่องจากน้ำเป็นส่วนประกอบหลักของร่างกายอย่างที่เราพอจะรู้ๆ กันมาบ้าง (ลองหาอ่านรายละเอียดทั้งหมดได้ที่นี่ค่ะ)
ซึ่งจากหลายๆบทความที่อ่านจากคุณหมอ คนไข้ของคุณหมอหลายๆท่าน เกิดอาการเจ็บป่วยเพราะดื่มน้ำไม่ถูกวิธี ซึ่งเป็นผลทำให้เกิดอาการของโรคต่างๆได้

โอ้..อ่านมาถึงตรงนี้ เริ่มคิดกันแล้วใช่มั้ยคะ ว่าแล้วไอ่ที่ถูกวิธีมันเป็นไงล่ะ ตอนนั้น joob ก็สงสัยเหมือนกันค่ะ
เพราะทุกครั้งที่เราได้ยิน เรามักจะได้ยินเพียงแต่ว่า ควรดื่มน้ำ วันละ 8-10 แก้ว เท่านั้น

แต่..จริงๆแล้ว เรื่องปริมาณอย่างเดียว ยังไม่ใช่คำตอบที่ถูกที่สุดค่ะ ต้องมีเรื่องเวลา และประเภทของน้ำด้วย


ลองมาฟังที่ joob สรุปมาจาก blog ของคุณหมอกันค่ะ

1. ดื่มน้ำให้พอดีกับน้ำหนักตัว ไม่ใช่ว่าทุกคนต้องดื่มเท่ากันค่ะ คุณหมอได้โพส สูตรคำนวนตามหลักขององค์การอนามัยโลกไว้ดังนี้ค่ะ

ที่มา : http://www.the-arokaya.com

ในตัวอย่างถ้ามีน้ำหนักตัว 60 กก. ก็จะได้ปริมาณน้ำที่ควรดื่ม อยู่ที่ 1.9 ลิตร

สาเหตุที่ควรดื่มน้ำในปริมาณที่พอดีกับร่างกายต้องการ คุณหมอได้บอกเอาไว้ว่า ในเลือดของคนเรามีน้ำอยู่ ถึง 60% ถ้าเราดืมน้ำน้อย จะทำให้เลือดเราข้น หนืด เวลาถูกส่งไปตามส่วนของเส้นเลือดจุดต่างๆ ที่ทั้งเล็กและแคบ ก็ยิ่งทำให้การลำเลียงไปได้ไม่ดี มีโอกาสทำให้เกิดโรคเส้นเลือดอุดตัน หรือ อัมพฤกษ์ อัมพาต

แล้วร่างกายของเคนเราก็มีน้ำอยู่ถึง 2 ใน 3 ของร่างกาย ถ้าน้ำน้อย ธาตุไฟก็จะโหมกระหน่ำ ธาตุลมก็กำเริบ ธาตุดินก็แห้งแตกระแหง (ขอเอาคำตามคุณหมอเขียนไว้เลยค่ะ เพราะเขียนได้เห็นภาพดีมากๆเลย)

2. ดื่มน้ำตอนเช้าหลังตื่นนอน คุณหมอเขียนเอาไว้ว่าจะดื่มก่อนแปรงฟัน หรือหลังแปรงฟันก็ได้ แต่ที่สำคัญคืออย่าลืมเท่านั้น และน้ำที่ว่านี่คือน้ำเปล่า ที่อุณภูมิปกติ หรืออุ่นกว่าร่างกายนิดหน่อย ไม่ควรดื่มน้ำเย็นมากเพราะจะทำให้ไปดึงอุณหภูมิร่างกายให้ต่ำลง

ดื่มให้ได้ 2- 5 แก้ว จะมีประโยชน์ต่อร่างกายหลายอย่างเลยทีเดียว
เพราะน้ำจะไปชำระล้างทำความสะอาดระบบขับของเสียในร่างกาย และช่วงเช้าก็เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมในการกำจัดพิษออกจากร่างกาย ทำให้ร่างกายสะอาด ปราศจากโรคอีกด้วย

คุณหมอยังบอกอีกว่า ถ้าใครที่ท้องผูกบ่อยๆ (แอบยกมือด้วย -_-'/) การดื่มน้ำ 5 แก้วตอนเช้าทุกวัน ภายใน 2 สัปดาห์ จะทำให้ระบบขับถ่ายดีขึ้นเองโดยไม่ต้องพึ่งยาเลย เพราะการกินยาบ่อยๆ ทำให้ลำไส้เสียระบบ เพราะถูกกระตุ้นบ่อยๆ การดื่มน้ำเป็นทางออกที่ดีและง่ายกว่ากันเยอะ (ข้อนี้ต้องไปลองซะแล้ววววว ^^)

3. หลีกเลี่ยงน้ำเย็น น้ำอัดลม นม ...จ๊ากกกกก ข้อนี้ยากๆ 5555 เดี๋ยวลองดูรายละเอียดกันก่อน

เริ่มที่ น้ำเย็น ก่อน เวลาเราดื่มน้ำเย็น แต่เมื่อร่างกายต้องการดูดซึม ร่างกายจะต้องปรับอุณภูมิของน้ำให้เท่ากับอุณหภูมิของร่างกาย ทำให้เสียพลังงานและเสียเวลาในการปรับสมดุล
โดยเฉพาะการดื่มน้ำชาที่แช่เย็น เพราะน้ำชามีฤทธิ์เย็นอยู่แล้ว ถึงจะดื่มแบบร้อนก็ตาม ดังนั้นเมื่อเราดื่มน้ำชาแบบแช่เย็น ก็ไม่ต้องพูดถึงเลยว่าร่างกายเราจะเย็นแค่ไหน แล้วก็ยังทำให้เกิดแก๊สอีกด้วย
(-___-' ) เป็นคนชอบดื่มชาค่ะ ชอบดื่มชาเย็นด้วยอ่าา

น้ำอัดลม ผลก็เช่นเดียวกันกับน้ำเย็น เพราะเราต้องดื่มแบบเย็นๆ แต่ที่แย่กว่านั้น คือในน้ำอัดลมแทบจะไม่มีประโยชน์อะไรเลย นอกจากความเย็น น้ำตาล สารแต่งสี สารแต่งกลิ่น ดังนั้นไม่ควรกินจนติด หรือถ้างดได้ควรงดไปเลย
(-___-' ) ข้อนี้ พยามลดอยู่ค่ะ แต่โชคดีไม่ได้ติดขนาดกินทุกวันอยู่แล้ว

ส่วนเรื่อง นม หลายคนคงแปลกใจว่าห้ามดื่มด้วยเหรอ เหมือนตอนที่ joob อ่านบทความใหม่ๆค่ะ เพราะที่เรารู้ๆมาในอดีตว่าการดื่มนมจะทำให้ตัวโตแข็งแรง แคลเซียมช่วยบำรุงกระดูก

คุณหมอได้เขียนไว้ว่า ชาวเอเชียเมื่อหย่านมแล้วร่างกายจะไม่ย่อยน้ำตาลแลกโตสในนม และสารเคซินในนมจะเหนียวจับตัวเป็นลิ่มเป็นก้อนทำให้กระเพาะอาหารทำการย่อยสารเหล่านี้ลำบาก และยังนิยมดื่มนมที่มีรสหวาน ดื่มนมแช่เย็นกันอีก ความหวานและความเย็นจากนมที่ท่านชอบดื่มกัน ก็สามารถสร้างปัญหาให้ร่างกายท่านได้ไม่ต่างอะไรจากน้ำอัดลมเช่นเดียวกัน

(-___-' ) ปกติก็ไม่ค่อยทานนมอยู่แล้ว แต่ก็ทานเวลาอยากหรือเวลาชงกาแฟ ชานม ..เฮ่อออ ยังดีข้อนี้ไม่ยากเท่าไหร่ แต่ก็คงขัดกับความเข้าใจที่เคยมีมาเหมือนกันเนอะ

4. ดื่มน้ำให้ถูกเวลา
บางคนมักจะดื่มน้ำเยอะ ก่อนทานอาหาร
บางคนก็ชอบดื่มเยอะระหว่างทานอาหาร (joob เองง -__-'/) และเมื่อทานอิ่ม ก็ดื่มน้ำเยอะๆตามทันที การดื่มน้ำในช่วงเวลาดังกล่าวนี้เป็นการดื่มน้ำที่ผิดเวลาอย่างมาก และเป็นสาเหตุให้เกิดอาการเจ็บไข้ได้ป่วยได้

การดื่มน้ำก่อนทานอาหาร ทำให้น้ำไปเจือจางน้ำย่อยในกระเพาะอาหาร เมื่อทานอาหารตามเข้าไป น้ำย่อยที่มีอยู่ก็เจือจางลง ทำให้อาหารไม่ย่อยและเกิดการหมักหมมในกระเพาะอาหาร และ ทำให้เกิดพิษในร่างกายขึ้น เป็นสาเหตุให้เกิดอาการเจ็บป่วย เช่นเดียวกับการที่ท่านดื่มน้ำระหว่างทานอาหาร หรือดื่มน้ำหลังรับประทานอาหารอิ่มใหม่ๆ จะทำให้ระบบการย่อยอาหารทำงานได้ไม่ดี

(แง่วววววววว..ข้อนี้ โดนๆๆๆ เพราะเป็นคนที่ระบบย่อยไม่ค่อยดี แถมท้องอืดบ่อยๆ เพราะชอบกินข้าว-คำ น้ำ-คำ นี่เอ๊งงง T^T)

แต่คุณหมอก็ได้บอกวิธีแก้ไว้ให้แล้วค่ะ ตามนี้ (ขอยกสำนวนคุณหมอมาเลยนะคะ จะได้เข้าใจถูกต้อง)

1. ระหว่างทานอาหารควรดื่มน้ำแต่น้อย อย่างมากไม่เกิน 1 แก้ว เพื่อให้น้ำย่อยมีประสิทธิภาพในการย่อยอาหารได้เต็มที่

2. หลังทานอาหารเสร็จแล้ว 40 นาที ค่อยดื่มน้ำตามปกติ เพื่อให้กระเพาะได้ทำการย่อยอาหารเสียก่อน

3. และที่สำคัญไม่ควรดื่มน้ำเย็น ในการย่อยอาหารนั้นกระเพาะต้องใช้ไฟในการย่อยอาหาร ถ้าท่านดื่มน้ำเย็นเข้าไป ความเย็นจะเข้าไปดับไฟในกระเพาะ และเป็นสาเหตุให้อาหารไม่ย่อย บางท่านอาจจะบอกว่าเวลาไปทานร้านอาหาร เขาก็ให้แต่น้ำเย็นทั้งนั้น ก็ขอให้ท่านดื่มแต่น้อยดีกว่า

กระเพาะอาหารมีธาตุไฟ “ปริณามัคคี” คือไฟสำหรับย่อยอาหาร ที่จะย่อยอาหารให้เป็นสารอาหารไปหล่อเลี้ยงร่างกาย ถ้าไฟธาตุนี้พิการ อาหารก็จะไม่มีไฟในการย่อย ก็จะเกิดอาหารท้องอืด ท้องพอง ผะอืมผะอม อาเจียน ร้อนในอกในใจ บวมตามมือตามเท้า บางคนไอไม่หายเพราะกินแต่ยาแก้ไอ ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาที่ไม่ถูกจุด เพราะต้นเหตุที่แท้จริงคือกระเพาะอาหารย่อยอาหารไม่ได้ แล้วเกิดการหมักหมมเกิดเป็นแก๊สพิษ Toxin ในร่างกายและกระแสเลือด


โฮ่...อ่านมาถึงตอนนี้แล้ว (ยาวนิดนึงนะคะ) เป็นอย่างไงบ้างคะ ทำผิด ทำถูกกันมั่งหรือเปล่า
ถ้าใครมีอาการป่วยบ่อยๆ เป็นนู่นนี่ไม่หายซักที ลองมาเริ่มจากการดื่มน้ำให้ถูกวิธีดีไหมคะ
ดูแล้วเป็นวิธีที่ง่าย ประหยัด แล้วก็ไม่แพงด้วย ลองไว้ก็คงไม่น่าเสียหายอะไรค่ะ

joob ก็จะเริ่มทำด้วยนะ ^^

ก่อนหน้านี้ไปเที่ยวเสม็ดกะเพื่อนๆ 3 วัน แล้วถ่ายไม่ออก(แปลกที่..เป็นประจำ) ก็ลองไปทานผักสลัดเป็นมื้อเย็นมาทีนึงแล้ว ได้ผลค่ะ วันรุ่งขึ้นก็...ทันที 555
ตอนนี้กำลังบังคับตัวเองให้กินผักเยอะขึ้น + ดื่มน้ำให้ถูกวิธีอยู่ค่ะ เพราะว่าน่าจะทำให้อาการป่วยบ่อยๆ ดีขึ้นบ้าง



...................................................

ที่มา : น้ำสำคัญกับร่างกายอย่างไร (ขอบคุณบทความดีๆจาก
http://www.the-arokaya.com ค่ะ^^)




วันเสาร์ที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2551

หมายิ้ม

วันนี้ชื่อเรื่อง ทำให้อยากเปลี่ยนรูปใน head shot มากๆ ฮ่าๆๆๆ ^^'
ไม่เกี่ยวกันน๊า บอกไว้ก่อน .. =P


ไปอ่านเจอ ในนี้ มา เห็นแล้วก็อดยิ้มไม่ได้
เมื่อก่อนเราเคยเห็นแต่อันที่เค้าเอาไว้ให้เด็กๆดูดเล่น
แต่ตอนนี้มีสำหรับหมาแล้วค้าบบบ *O*



หมาบ้านใครไม่ค่อยยิ้ม ลองใช้อันนี้ดูค่ะ


มันคงจะมีบ้างบางครั้งแหละ ที่เราเกิดรำคาญเสียงหมาที่เราเลี้ยงไว้ที่บ้าน เวลามันเล่น หรือมันเห่า ไม่ยอมหยุดซักที
ลองไปซื้อเจ้า Oshaburi Toy สำหรับหมา มาให้มันอมเล่นดูสิคะ ได้ทั้งความฮา แถมยังใช้อุดปากเจ้าหมาน้อยไปด้วยในตัว 555 แถมเจ้าของยังสบายหูอีกตังหาก ยิงปีนนัดเดียวได้นก 3 ตัว อิอิ



สนนคาราก็ประมาณ 315 เยนต่อ 1 ปาก มีให้เลือก 4 แบบ (555 ชอบน่องไก่จริงๆ)


ไอเดียดีๆแบบนี้ เป็นของพี่ยุ่นเค้าอีกแล้วค่ะ =D





+++++++++++

เห็นเค้าว่า Oshaburi แปลเป็นภาษาอังกฤษว่า pacifier
Oshaburi Toyแปลเป็นไทย(ตามความเข้าใจของข้าพเจ้า) คงจะประมาณว่าเป็นของเล่นที่ทำให้เจ้าหมามัน สงบปาก สงบคำ นั้นเอง...=D

ที่มา :

a rinkya blog : Funny Dog Toys From Japan!

Product's Page and Store

+++++++++++

วันพฤหัสบดีที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2551

บ้านก้ามปู

เรื่องมันเริ่มมาจากเพื่อนหญิง(ไม่ใช่เพื่อนสาวนะคะ =d) ที่ชื่อ เอ โทรมาชวนออกไปเดินดูต้นไม้ ชิลๆกันที่เลียบทางด่วน รามอินทราฯ ไม่ไกลจากบ้านเราเท่าไหร่ ก็เลยตกลงไปโดยไม่ต้องคิดมาก (ถ้าออกไปในเมืองก็จะคิดมากหน่อยค่ะ เพราะเบื่อรถติด+ขี้เกียจขับรถไกลๆ)

พอดีว่าเพิ่งเห็นห้างเปิดใหม่แถวๆนั้น ชื่อ crystal park ก็เลยตกลงใจกันว่าจะนัดเจอกันที่นั่นก่อนเพื่อทานข้าว แล้วค่อยไปเดินดูต้นไม้ตรงเลียบทางด่วน เลยห้างไปนิดหน่อย

ถึงที่นัดหมาย เรา 2 คนก็ไปโซ้ยข้าวกันก่อน หลังจากที่อิ่มได้ที่แล้ว กำลังว่าจะย้ายก้นไปเดินดูต้นไม้ เอก็เสนอไอเดียมาว่า "ไปบ้านก้ามปูกันมั้ย"
เราก็งง "บ้านก้ามปูไรเหรอ"
เอก็เลยอธิบายว่าเป็นสวนที่เค้าขายต้นไม้ แล้วก็มีร้านกาแฟเล็กๆ ในสวนด้วย จริงๆแล้วเอรู้มาจากเพื่อนเอที่เคยเรียนด้วยกันว่าเป็นสวนของคุณพ่อของเพื่อนเค้า ซึ่งจุดเด่นอยู่ตรงที่ว่าทั้งคุณพ่อ และคุณลูก เค้าทำงานและเรียนมาทางด้าน landscape โดยตรงก็เลยคิดว่า ต้องน่าสนใจแน่นอน เรา 2 คนก็เลยตกลงใจไปที่นั่น อ้อ..อีกอย่างเพราะว่าอยู่ไม่ไกลจาก crystal park ที่เราทานข้าวกันด้วย (ฝั่งตรงข้าม แล้วก็เข้าซอยตรงแถวๆ สิดาหลาสปา ไปหน่อยนึง)

พอไปถึง บ้านก้ามปู เราก็ไม่ผิดหวังกันเลยค่ะ แค่เดินเข้าไปก็เจอกับต้นไม้เยอะแยะมากมาย ที่ดูก็รู้ว่าผ่านการดูแลมาอย่างดี สัปปะรดสีหลากหลายชนิด แข่งกันออกดอกด้วย (เคยมีที่บ้านต้นนึงค่ะ ได้มาตอนเค้าออกดอก แต่พอดอกนั้นโรยไป เค้าก็ไม่เคยออกดอกอีกเลยตลอดเวลาที่มาอยู่บ้านเรา แฮ่ๆๆ) เราก็เลยเดินดูต้นไม้รอบๆ กับของตกแต่งสวน ที่วางโชว์ไว้เหมือนเป็นของประดับสวนไปด้วย (แต่ก็ขายด้วยค่ะ) เพลินดีจริงๆ เลย เสียดายที่ไม่ได้เอากล้องติดตัวไปด้วยวันนั้น ...

ที่มาของภาพ : http://www.bankampu.com

เดินจนเกือบครบรอบ ก็เจอร้านหนังสือมุมเล็กๆ ที่ขายหนังสือเกี่ยวกับต้นไม้ด้วย เอ ก็เลยได้ซื้อหนังสือจัดสวนมาเล่มนึงเพราะตอนนี้เอกำลังมีความสุขกับการจัดสวนเล็กๆที่คอนโดอยู่ (คุณป้าที่เก็บเงินใจดีมากๆ บอกว่าให้เราเอาหนังสือเล่มที่เราขอเปิดดูตรงเค้าท์เตอร์ ไปดูเล่นๆ ที่โต๊ะก่อนก็ได้ค่ะ แล้วค่อยเอามาคืน)

พวกเราเดินมาจนครบรอบแล้วถึงเดินเข้าไปสั่งโกโก้เย็น กับชาและเค้กมานั่งทานเล่นๆไปพลางๆ ระหว่างที่นั่งคุยกัน
ลูกค้าที่มานั่งที่ร้านนี้ ไม่มีใครนั่งในห้องแอร์เลยค่ะ เพราะบรรยากาศ outdoor ดีมากๆๆๆๆ พนักงานก็เป็นกันเองดี ยิ้มแย้มน่ารัก ระหว่างที่เดินดูต้นไม้ จะไม่มีใครมาเดินตามเลยค่ะ เหมือนเราเดินเล่นในสวนมากกว่า อ้อ .. เครื่องดืมกับเค้กก็อร่อยดีนะคะ ส่วนไอศครีม ยังไม่ได้ลอง เพราะอิ่มข้าวมามากๆ =p


ที่เห็นในเว็บอาจจะเป็นแค่ส่วนนิดเดียวค่ะ ถ้าใครอยากสัมผัสบรรยากาศจริงๆ แล้ววันว่างนี้ ยังไม่มีแพลนไปไหนละก็ ..ลองแวะเข้าไปดูของจริงกันที่บ้านก้ามปู ได้นะคะ (แนะนำให้ไปวันธรรมดานะคะ เพราะจะได้เลือกที่นั่งได้ วันหยุดยังไม่เคยไปเหมือนกัน แต่เดาว่าร้านน่ารักๆ แบบนี้ วันหยุดคนต้องเยอะแน่ๆเลยค่ะ)


ปล. ไม่ได้ค่าโฆษณาอะไรนะคะ เพราะไม่ได้รู้จักอะไรกับเจ้าของร้าน แค่เห็นอะไรดีๆ ก็อยากเอามาแบ่งปันกันค่ะ ^^